ก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas) มีอะไรบ้าง ?

ความรู้

มีนาคม 18, 2025

ก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas – GHG) คืออะไร?

ก๊าซเรือนกระจก (GHG) เป็นก๊าซในชั้นบรรยากาศที่ช่วยรักษาอุณหภูมิของโลก แต่เมื่อปริมาณเพิ่มขึ้นเกินสมดุล จะทำให้เกิด ภาวะโลกร้อน (Global Warming) และ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) GHG มีทั้งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและที่มนุษย์สังเคราะห์ขึ้น

ก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาต

     • ไอน้ำ (Water Vapor) – ก๊าซเรือนกระจกหลักที่ช่วยรักษาอุณหภูมิของโลก

     • โอโซน (O₃ – Ozone) – ปกป้องโลกจากรังสี UV แต่หากสะสมในชั้นบรรยากาศล่าง อาจเป็นมลพิษ

     • คาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂ – Carbon Dioxide) – เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล การหายใจของ

        สิ่งมีชีวิต และกระบวนการธรรมชาติ

     • มีเทน (CH₄ – Methane) – ปล่อยจากฟาร์มปศุสัตว์ หนองน้ำ และการย่อยสลายของอินทรียวัตถุ

     • ไนตรัสออกไซด์ (N₂O – Nitrous Oxide) – ปล่อยจากการเกษตรและกระบวนการอุตสาหกรรม

ก๊าซเรือนกระจกที่มนุษย์สังเคราะห์ขึ้น

     • ไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน (HFCs – Hydrofluorocarbons) – ใช้ในเครื่องทำความเย็น

     • เปอร์ฟลูออโรคาร์บอน (PFCs – Perfluorocarbons) – ใช้ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์

     • ซัลเฟอร์เฮกซะฟลูออไรด์ (SF₆ – Sulfur Hexafluoride) – ใช้ในอุปกรณ์ไฟฟ้าแรงสูง

     • ไนโตรเจนไตรฟลูออไรด์ (NF₃ – Nitrogen Trifluoride) – ใช้ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์

ก๊าซเรือนกระจก เกิดจากอะไร ?

ก๊าซเรือนกระจกมีทั้งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติและที่มนุษย์สร้างขึ้น โดยมีแหล่งกำเนิดที่สำคัญดังนี้

1. การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล (Fossil Fuel Combustion) เป็นแหล่งกำเนิดก๊าซเรือนกระจกที่ใหญ่ที่สุดในโลก

  • กิจกรรม: การผลิตไฟฟ้า การขนส่ง การใช้เครื่องจักรในอุตสาหกรรม
  • ตัวอย่างเชื้อเพลิง: ถ่านหิน น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ
  • ก๊าซที่ปล่อย: คาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂), ไนตรัสออกไซด์ (N₂O)
  • ผลกระทบ: ปล่อย CO₂ ปริมาณมหาศาล → ทำให้โลกร้อนขึ้นอย่างต่อเนื่อง

2. กิจกรรมทางการเกษตร (Agricultural Activities)

  • การเลี้ยงสัตว์: โดยเฉพาะวัวและแกะ ซึ่งกระบวนการย่อยอาหารของสัตว์เหล่านี้ปล่อย มีเทน (CH₄)
  • การปลูกข้าวในนาน้ำขัง: ทำให้เกิดการหมักของอินทรียวัตถุใต้ดิน → ปล่อยมีเทน
  • การใช้ปุ๋ยเคมี: ก่อให้เกิด ไนตรัสออกไซด์ (N₂O) ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่มีพลังในการกักเก็บความร้อนสูง

3. การจัดการของเสียและขยะ (Waste Management)

  • ขยะอินทรีย์ที่ถูกฝังกลบ: ย่อยสลายแบบไม่ใช้ออกซิเจน → ปล่อยก๊าซมีเทน (CH₄)
  • การเผาขยะ: ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) และบางครั้งมีสารพิษร่วมด้วย
  • น้ำเสียจากชุมชนและโรงงาน: หากไม่มีการบำบัดที่ดี จะเกิดการหมักและปล่อยมีเทนออกมา

4. การตัดไม้ทำลายป่า (Deforestation)

  • ต้นไม้ทำหน้าที่ดูดซับ CO₂ จากชั้นบรรยากาศผ่านกระบวนการสังเคราะห์แสง 
  • เมื่อมีการตัดไม้มากเกินไป 
    • ปริมาณ CO₂ ในอากาศจะเพิ่มขึ้น 
    • คาร์บอนที่สะสมอยู่ในต้นไม้จะถูกปล่อยกลับสู่อากาศอีกครั้ง

5. อุตสาหกรรมการผลิต (Industrial Processes)

  • การผลิตซีเมนต์ เหล็ก และพลาสติก มักใช้พลังงานจำนวนมากและปล่อย CO₂ ออกมา 
  • อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น → ปล่อยก๊าซฟลูออริเนต (Fluorinated Gases) เช่น HFCs, PFCs, SF₆
  • ก๊าซเหล่านี้แม้มีปริมาณน้อย แต่มีศักยภาพในการทำให้โลกร้อนสูงมาก

6. การขนส่ง (Transportation)

  • ยานพาหนะที่ใช้น้ำมันเบนซินและดีเซลปล่อย CO₂ อย่างต่อเนื่อง
  • ยิ่งรถติดนาน ยิ่งปล่อยก๊าซมาก
  • เรือบรรทุกสินค้าและเครื่องบิน ก็เป็นแหล่งปล่อย CO₂ ในระดับโลกที่สำคัญ

ผลกระทบจากก๊าซเรือนกระจก

1. ภาวะโลกร้อน (Global Warming)

เมื่อก๊าซเรือนกระจกสะสมในชั้นบรรยากาศมากขึ้น จะกักเก็บความร้อนจากดวงอาทิตย์ไว้ ทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

  • ปัจจุบันอุณหภูมิโลกสูงขึ้นแล้ว ~1.2°C เมื่อเทียบกับช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรม
  • ผลกระทบเริ่มเห็นชัดเจน เช่น คลื่นความร้อน (Heatwave) ในยุโรปและเอเชียที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายพันคน
  • ความร้อนที่เพิ่มขึ้นยังทำให้ป่าไม้ติดไฟง่ายขึ้น เช่น ไฟป่าในออสเตรเลีย สหรัฐฯ และแคนาดา

2. การละลายของน้ำแข็งและธารน้ำแข็ง (Ice Melting)

น้ำแข็งขั้วโลกและธารน้ำแข็งบนภูเขาต่าง ๆ กำลังละลายเร็วขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา ซึ่งเชื่อมโยงโดยตรงกับอุณหภูมิโลกที่เพิ่มขึ้น

  • ธารน้ำแข็งหลายแห่ง เช่น ที่เทือกเขาหิมาลัย อัลป์ และอันเดส กำลังหายไป
  • การละลายของน้ำแข็งที่กรีนแลนด์และแอนตาร์กติกเป็นตัวเร่งให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น
  • สิ่งมีชีวิตขั้วโลก เช่น หมีขั้วโลก ต้องเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์เพราะไม่มีพื้นน้ำแข็งสำหรับล่าเหยื่อ

3. ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น (Sea Level Rise)

น้ำทะเลเพิ่มขึ้นจาก 2 สาเหตุหลัก คือ น้ำแข็งละลายและการขยายตัวของน้ำจากความร้อน

  • หลายพื้นที่ชายฝั่งในไทย เช่น สมุทรปราการ สมุทรสาคร มีแนวโน้มถูกน้ำทะเลรุกล้ำ
  • เมืองใหญ่อย่างจาการ์ตา มะนิลา และโฮจิมินห์มีความเสี่ยงสูงที่จะจมน้ำ
  • ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นยังทำให้ “น้ำเค็ม” เข้ามาในแหล่งน้ำจืด ส่งผลต่อการเกษตรและการใช้น้ำของชุมชน

4. การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ (Climate Disruption)

โลกกำลังเข้าสู่ภาวะที่ “สภาพอากาศแปรปรวน” มากกว่าปกติ และไม่สามารถคาดเดาได้เหมือนในอดีต

  • บางพื้นที่เจอฝนตกหนักเกินควร ขณะที่บางพื้นที่แล้งนานผิดปกติ
  • การเพาะปลูกพืชบางชนิดต้องปรับเปลี่ยนฤดูกาลใหม่หมด
  • ความรุนแรงของพายุ เช่น ไต้ฝุ่น และเฮอร์ริเคน เพิ่มขึ้น เนื่องจากทะเลอุ่นมากขึ้น

5. ผลกระทบต่อระบบนิเวศ (Ecosystem Disruption)

การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิและสภาพแวดล้อมส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตทั้งทางตรงและทางอ้อม

  • สัตว์ป่าอพยพเปลี่ยนถิ่นฐาน อาจรุกล้ำพื้นที่ชุมชน
  • ปะการังทั่วโลกเผชิญกับ “การฟอกขาว” เพราะอุณหภูมิน้ำทะเลสูงขึ้น ทำให้ระบบนิเวศใต้ทะเลเสียสมดุล
  • แมลงบางชนิดขยายพื้นที่ออกไปไกลกว่าที่เคย ส่งผลต่อการแพร่โรค

6. ผลกระทบต่อเกษตรกรรมและอาหาร (Food Security)

ภาคเกษตรกรรมมีความเสี่ยงสูงจากสภาพอากาศแปรปรวน เพราะการปลูกพืชขึ้นอยู่กับความชื้น แสงแดด และฤดูกาล

  • ฝนตกไม่สม่ำเสมอ ทำให้พืชผลเสียหาย เช่น ข้าว ข้าวโพด และกาแฟ
  • ดินแห้งแล้ง หรือเกิดน้ำท่วมฉับพลันบ่อยขึ้น
  • ปริมาณอาหารลดลง แต่ความต้องการยังสูง ทำให้ราคาอาหารแพงขึ้น ส่งผลกระทบต่อผู้มีรายได้น้อย

7. ผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์ (Human Health)

อากาศที่ร้อนและคุณภาพอากาศที่แย่ลงส่งผลต่อสุขภาพกายและใจของมนุษย์ทั่วโลก

  • คลื่นความร้อนทำให้เกิดโรคเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด
  • โรคจากยุง เช่น ไข้เลือดออก และมาลาเรีย แพร่กระจายได้ในพื้นที่ที่เคยปลอดภัย
  • ควันจากไฟป่าและมลพิษจากการเผาเชื้อเพลิงทำให้โรคหอบหืด และโรคทางเดินหายใจเรื้อรังรุนแรงขึ้น
  • ภัยพิบัติซ้ำซากส่งผลต่อสุขภาพจิต เช่น วิตกกังวล ซึมเศร้า และ PTSD

8. ผลกระทบทางเศรษฐกิจ (Economic Impact)

ความเสียหายจากภัยธรรมชาติ ความเสี่ยงด้านการลงทุน และความผันผวนของราคา ส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจทั้งระดับท้องถิ่นและระดับโลก

  • ประเทศกำลังพัฒนาเผชิญกับต้นทุนการปรับตัวที่สูง
  • ธุรกิจเกษตร ประมง และท่องเที่ยวได้รับผลกระทบโดยตรง
  • บริษัทประกันภัยต้องจ่ายค่าสินไหมเพิ่มขึ้น ทำให้เบี้ยประกันแพงขึ้น
  • ผู้คนต้องใช้เงินมากขึ้นในการดูแลสุขภาพและซ่อมแซมทรัพย์สินที่เสียหายจากภัยธรรมชาติ

9. ผลกระทบต่อสังคมและความมั่นคง (Social & Security Issues)

ภัยจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ได้กระทบแค่ธรรมชาติ แต่ยังส่งผลกระทบต่อสังคมอย่างรุนแรง

  • ผู้อพยพจากภัยพิบัติ (Climate Refugees) เพิ่มขึ้นในหลายประเทศ
  • ความขัดแย้งเรื่องน้ำ อาหาร และที่อยู่อาศัยมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น
  • ประเทศที่เปราะบางทางเศรษฐกิจอาจเข้าสู่ภาวะไร้เสถียรภาพได้ง่าย
  • องค์กรความมั่นคงระหว่างประเทศเริ่มจับตาภาวะโลกร้อนในฐานะภัยคุกคามระดับโลก

GHG ที่ถูกตรวจวัดและประเมินผล

องค์กรระหว่างประเทศ เช่น IPCC (Intergovernmental Panel on Climate Change) ได้กำหนดให้มีการติดตามและวัดผลก๊าซเรือนกระจกหลัก 7 ชนิด ได้แก่ CO₂, CH₄, N₂O, HFCs, PFCs, SF₆ และ NF₃ เนื่องจากมีผลกระทบต่ออุณหภูมิโลกในระดับที่แตกต่างกัน และค่า GWP ของ GHG แต่ละชนิดถูกกำหนดและวัดผลโดยหน่วยงาน IPCC

GWP คืออะไร ? ทำไมถึงสำคัญ ?

ก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gases – GHG) แต่ละชนิดมีผลต่อภาวะโลกร้อนแตกต่างกัน เราจึงใช้ค่าศักยภาพในการทำให้เกิดภาวะโลกร้อน (Global Warming Potential – GWP) เป็นตัวชี้วัดเพื่อเปรียบเทียบความสามารถของก๊าซแต่ละชนิดในการกักเก็บความร้อนในชั้นบรรยากาศ เมื่อเทียบกับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ซึ่งใช้เป็นมาตรฐาน โดยปกติค่า GWP จะถูกคำนวณในช่วงเวลา 100 ปี

ก๊าซที่มีค่า GWP สูง ส่งผลอย่างไร ?

โดยธรรมชาติ ก๊าซที่มีค่า GWP สูงจะดูดซับและกักเก็บความร้อนได้มากขึ้น ส่งผลให้ โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้น เร็วกว่าปกติ

ค่า GWP บอกอะไรเรา ?

ค่า GWP (Global Warming Potential) เป็นตัวเลขที่ใช้เปรียบเทียบความสามารถของก๊าซเรือนกระจกแต่ละชนิดในการกักเก็บความร้อน ในชั้นบรรยากาศเมื่อเทียบกับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ซึ่งเป็นค่ามาตรฐานอ้างอิงที่ GWP = 1 หากก๊าซอื่นมีค่า GWP มากกว่า 1 หมายความว่า ก๊าซนั้นสามารถกักเก็บความร้อนได้มากกว่า CO₂ ในช่วงเวลาเดียวกัน เช่น     

     • CH₄ (Methane) → GWP = 28

        มีความสามารถในการกักเก็บความร้อนได้ มากกว่า CO₂ ถึง 28 เท่า ในระยะเวลา 100 ปี

     • HFC-134a (สารทำความเย็น) → GWP = 1,300

        หมายความว่า สารทำความเย็น R-134a กักเก็บความร้อนได้มากกว่า CO₂ ถึง 1,300 เท่า ในระยะเวลา 100 ปี เป็นต้น

GWP สูง = ผลกระทบต่อโลกร้อนมากขึ้น!

แม้ว่าก๊าซบางชนิดจะมีปริมาณน้อยในชั้นบรรยากาศ แต่หากมีค่า GWP สูง ก็สามารถส่งผลกระทบต่อภาวะโลกร้อนได้อย่างรุนแรง ดังนั้น การลดการปล่อยก๊าซเหล่านี้ คือกุญแจสำคัญในการชะลอการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

บริษัท แบ็กส์แอนด์โกล์ฟ ของเรา ให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในทุกกระบวนการผลิต เราเลือกใช้ วัตถุดิบที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และส่งเสริมการใช้ พลังงานสะอาด เพื่อช่วยลดผลกระทบต่อโลก ไม่ว่าขะเป็น  ถุงมือพลาสติกที่สามารถย่อยสลายได้โดยไม่มี Microplastic ตกค้างอยู่ในสิ่งแวดล้อม เลือกวัตถุดิบที่มีการรับรองว่าสามารถย่อยสลายได้จริง ผลิตถุงมือพลาสติกที่มีการปล่อย Carbon Dioxide ต่ำ หรือเรียกง่าย ๆ ว่า ถุงมือ Low Carbon การใช้ไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด หรือ การเลือกวัตถุดิบที่นำมาผลิตที่เป็น Low Carbon Material

บทความที่เกี่ยวข้อง

ความรู้

มาตรฐาน ISO เครื่องยืนยันความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ Bags and Gloves

มาตรฐาน ISO หรือ International Organization for Standar…

CPE คือ

ความรู้

พลาสติก CPE คือ อะไร? คุณสมบัติ การใช้งาน และข้อดีที่ควรรู้

หากพูดถึงวัสดุพลาสติกที่มีความทนทานสูง ยืดหยุ่นดี และใช…

ความรู้

ก๊าซเรือนกระจก กับ คาร์บอนฟุตพริ้นท์และการใช้ชีวิตประจำวันของเรา เกี่ยวข้องกันอย่างไร

เคยสงสัยไหมว่า กิจกรรมในชีวิตประจำวันของเรามีส่วนทำให้เ…

HDPE คือ

ความรู้

HDPE คืออะไร ? มีคุณสมบัติและข้อดีอย่างไรบ้าง

HDPE คือ พลาสติกที่เราพบเห็นได้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน แล…