โลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กลายเป็นประเด็นที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ หนึ่งในแนวทางสำคัญที่ช่วยแก้ปัญหานี้คือ Carbon Credit และ Carbon Capture ซึ่งถือเป็นกลไกที่ช่วยให้องค์กรและธุรกิจสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก พร้อมสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ๆ ได้
Carbon Credit คืออะไร
Carbon Credit (คาร์บอนเครดิต) หมายถึง ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ที่ลดลง หรือกักเก็บเพิ่มขึ้น จากการดำเนินโครงการต่างๆ โดยต้องได้รับการรับรองมาตรฐานจากองค์กรที่เกี่ยวข้อง
ในประเทศไทย: องค์กรที่ให้การรับรองคือ องค์การบริหารก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ผ่านโครงการ T-VER และ Premium T-VER
ต่างประเทศ: มีองค์กรสากล เช่น Verra (มาตรฐาน VCS) และ Gold Standard (มาตรฐาน GS4GG)
หน่วยวัดของ Carbon Credit คือ tCO₂e (ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า) เมื่อโครงการได้รับการรับรองแล้ว Carbon Credit สามารถนำไป ซื้อ-ขาย ในตลาดคาร์บอน ได้ ทั้งในรูปแบบ OTC (Over the Counter) หรือผ่านตลาดซื้อขายที่จัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ
กล่าวได้ว่า Carbon Credit คือกลไกทางการตลาดที่เปลี่ยนการลดหรือกักเก็บ CO₂ ให้กลายเป็นมูลค่า ซึ่งองค์กรสามารถใช้เพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตน หรือสร้างรายได้จากการขาย
ปัจจัยที่มีผลต่อราคาของ Carbon Credit
ราคาของ Carbon Credit แตกต่างกันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยหลัก ได้แก่
1. ประเภทของโครงการ
- พลังงานสะอาด (เช่น Solar Cell) มีต้นทุนผลิตต่ำ ทำให้ราคาของ Carbon Credit ต่ำ
- การทำ Carbon Capture มีต้นทุนสูง ราคาจึงสูง
2. มาตรฐานและการรับรอง
- หากได้รับการรับรองในระดับสากล ราคามักสูงขึ้นเพราะมีความน่าเชื่อถือ
3. อุปสงค์และอุปทาน (Demand-Supply)
ความต้องการของตลาดส่งผลโดยตรงต่อราคา
4. ตลาดซื้อ-ขาย
- ตลาดภาคสมัครใจ (Voluntary Market) ราคาไม่แน่นอน ขึ้นกับผู้ซื้อและผู้ขาย
- ตลาดภาคบังคับ (Compliance Market) กำหนดราคาตามกฎหมาย เช่น ระบบ EU ETS ราคามักสูงกว่า
5. ผลประโยชน์เพิ่มเติม (Co-Benefits)
โครงการที่นอกจากลดคาร์บอนแล้วยังช่วยชุมชนหรือสิ่งแวดล้อม เช่น การปลูกป่าชุมชน ราคามักสูงกว่าปกติ
Carbon Capture คืออะไร
Carbon Capture (การดักจับคาร์บอน) คือ กระบวนการดักจับ CO₂ ก่อนที่จะลอยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ ซึ่งต้องอาศัยเทคโนโลยีขั้นสูง ครอบคลุมทั้ง การดักจับ การกักเก็บ และการนำไปใช้ประโยชน์
ประเภทหลักของ Carbon Capture
- Carbon Capture and Storage (CCS) ดักจับ CO₂ และนำไปกักเก็บอย่างถาวร เช่น ในหลุมน้ำมันที่หมดแล้ว หรือในชั้นหินใต้ทะเล
- Carbon Capture Utilization & Storage (CCUS) ดักจับ CO₂ และนำไปใช้ประโยชน์ เช่น
- บริษัท CarbonCure (Canada) ฉีด CO₂ เข้าในคอนกรีตระหว่างการผลิต
- บริษัท Carbon Clean (UK & India) และ Tata Chemicals (India) ผลิตโซดาแอชและเบกกิ้งโซดาจาก CO₂
Carbon Credit จาก Carbon Capture
Carbon Credit ที่มาจากเทคโนโลยี Carbon Capture มักมีราคาสูงกว่าประเภทอื่น เนื่องจาก
- ต้นทุนเทคโนโลยีสูง
- กระบวนการซับซ้อน
- ต้องการการตรวจสอบและการรับรองเข้มงวด
แม้มีค่าใช้จ่ายสูง แต่ Carbon Capture ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกโดยตรง และเป็นแนวทางที่หลายประเทศและองค์กรขนาดใหญ่กำลังลงทุนเพื่อเป้าหมาย Net Zero
Carbon Credit และ Carbon Capture ไม่ได้เป็นเพียงมาตรการด้านสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็น “โอกาสทางธุรกิจ” ที่ช่วยสร้างรายได้ เพิ่มความน่าเชื่อถือ และตอบโจทย์ความยั่งยืนในระดับโลก องค์กรที่ปรับตัวเร็วและลงทุนในด้านนี้ จะสามารถแข่งขันได้อย่างมั่นคงในอนาคต พร้อมมีส่วนร่วมในการสร้างโลกที่สะอาดและน่าอยู่มากขึ้น







